ชื่อว่าใครติดตามข่าวสารเมื่อประมาณวันที่ 7 ถึงวันที่ 8 เดือนสิงหาคมปีพ.ศ 2555 ที่ผ่านมาอาจจะได้รับฟังเกี่ยวกับประเด็นดราม่าที่เกิดขึ้นที่จังหวัดภูเก็ตเมื่อมีนักท่องเที่ยวชาวไทยรายนึงได้ผ่าคนในครอบครัวเดินทางไปเที่ยวที่จังหวัดภูเก็ตและได้แวะกินอาหารซึ่งเป็นร้านที่มีการรีวิวเยอะมากว่าอาหารอร่อยด้วยร้านดังกล่าวเจ้าของร้านชื่อโกซ้ง  

           อย่างไรก็ตามกระแสดราม่าเกิดขึ้นเมื่อลูกค้าคนดังกล่าวพากันไปรับประทานอาหารรวมทั้งหมด 9 คนด้วยกันซึ่งมีการสั่งอาหารหลายจาน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารทะเล แต่พอเมื่อถึงเวลาเช็คบิลปรากฏว่าเจ้าของร้านคิดค่าอาหารมื้อดังกล่าวนั้นอยู่ที่ 10460 บาทซึ่งนักท่องเที่ยวชาวไทยรายนี้มองว่าค่าอาหารสูงเกินไปสำหรับการทานเพียงแค่มื้อเดียวกับคนเพียงแค่ 9 คนเท่านั้นจึงได้มีการโพสต์เล่าเรื่องราวลงในโซเชียล 

         อย่างไรก็ตามหลังจากที่โพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ก็เกิดกระแสดราม่าเกิดขึ้นเพราะมีหลายคนที่เห็นราคาค่าอาหารกับจำนวนจานอาหารซึ่งส่วนใหญ่แล้วแนะนำกุ้งมาเป็นส่วนประกอบในการทำอาหารนั้นมีมูลค่าค่อนข้างสูงมาก

แต่บางคนที่เคยคุ้นชินกับร้านของโกซ้งก็ออกมาพูดถึงประเด็นดังกล่าวได้เช่นเดียวกันโดยยืนยันว่าราคาอาหารที่ถูกเรียกเก็บนั้นไม่แพงอย่างที่คิดเนื่องจากว่าของที่โกซ้งนำมาใช้เป็นส่วนผสมในการทำอาหารนั้นเป็นของดีมีคุณภาพ 

        สำหรับทางด้านโกสุมซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารเองก็ออกมาเปิดเผยเรื่องราวดังกล่าวได้เช่นเดียวกันโดยยืนยันว่าอาหารที่นำมาขายให้กับลูกค้ารายนี้เป็นอาหารระดับ signature

เนื่องจากลูกค้าเป็นคนที่ Request มาเองและอาหารส่วนใหญ่จะเป็นอาหารทะเลดังนั้นวัตถุดิบจึงมีราคาสูงซึ่งจะสังเกตเห็นได้ว่ากุ้งแต่ละตัวที่นำมาประกอบอาหารให้นั้นจะเป็นตัวขนาดใหญ่แตกต่างจากร้านอื่นๆนอกจากนี้โกซ้งยังฝากถึงลูกค้าที่มาใช้บริการที่ร้านได้ว่าหากอยากกินของดีคุณภาพก็ต้องลงทุนที่จะต้องจ่ายแพง 

          สำหรับเรื่องราวดังกล่าว ไม่ได้มีเพียงแค่ข้อพิพาทระหว่างลูกค้าที่ไปใช้บริการกับเจ้าของร้านที่ชื่อโกซ้ง เท่านั้นเพราะหลังจากที่คนในโลกออนไลน์ได้ติดตามข่าวสารในเรื่องของร้านอาหารแพงปรากฏว่าคนที่เคยไปใช้บริการที่ร้านของโกซ้งก็ออกมาพูดถึงเรื่องนี้กันเยอะมาก

โดยระบุว่าสินค้าของโกซ้งนั้นเป็นของดีมีคุณภาพลูกค้าที่ไปรับประทานอาหารที่ร้านโกซ้งนั้นรู้ดีกันทุกคนและยินดีที่จะจ่ายนอกจากนี้หากดูเมนูอาหารจะเห็นได้ว่าอาหารแต่ละชนิดจะมีราคาติดอยู่ยกเว้นอาหารประเภททะเลเท่านั้นที่จะไม่ได้มีการติดป้ายราคาเพราะเจ้าของร้านไปซื้อมาจากของเรือวันต่อวันดังนั้นราคาที่รับมาจากของเรืออาจจะไม่เท่ากันในแต่ละวันจึงไม่สามารถติดป้ายราคาบอกกับลูกค้าได้ 

สนับสนุนโดย    www.ufabet.com ลิ้งเข้าระบบ

อันดับ หนึ่ง คือ น้ำพุแห่งความเยาว์วัย

ซึ่งมีผู้คนมากมายที่เชื่อว่าน้ำพุแห่งความเยาว์มันมีอยู่จริงและพวกเขาก็ได้แสวงหาเพื่อความหนุ่มสาวและหนึ่งในนั้นก็คือชายที่มีชื่อว่า Anatoli Brouchkov หัวหน้าภาคธรณีวิทยาแห่งมหาลัยมอสโกโดยตัวเขานั้นคิดว่าน้ำพุแห่งความเยาว์นั้นมีอยู่จริง

เพียงแต่ว่ามันอยู่ในรูปแบบของแบบทีเรียที่มันมีชื่อว่าBacillus F ที่เป็นแบทีเรียที่มีอายุประมาณ3.5ล้านปีที่มันถูกแช่แข็งอยู่ในธรรมชาจติมาโดยตลอดจากนั้นเมื่อน้ำแข็งละลายแบทีเรียที่ว่านี้มันก็ปนเข้าสู่แหล่งน้ำดื่มของเมืองYakutจากนั้นเมื่อชาวเมืองดื่มเข้าไปก็เลยทำให้พวกเขามีอายุที่ยืนยาว

ซึ่งจากแนวความคิดดดังกล่าว Anatoli Brouchkovจึงได้เอาบทีเรียBacillus Fฉีดเข้าไปในร่างกายของตัวเองจากนั้นเขาได้ยืนยันว่ามันไม่ส่งผลเสียใดๆต่อร่างกายของเขาและเขานั้นยังได้สังเกตุเห็นอีกว่าเขาสามารถทำงานได้ดีขึ้นและนานขึ้นและเขาก็ไม่ป่วยเป็นไข้หวัดเลยในระยะเวลาตลอด2ปี

อันดับที่ สอง คือ ฝังFlectrodes ในสมอง

การทดลองที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้จริง ในช่วงปลายทศวรรษ1990นักวิจัยที่มีชื่อว่าPhil Kennedy และ นาย Roy Bakay ได้กลายมาเป็นหัวข้อข่าวที่โด่งดังไปทั่วโลกจากการที่พวกเขานั้นเปิดตัวที่เรียกว่า ไซบอร์กตัวจริง โดยไซบอร์กที่นี้ก็คือทหารผ่านศึกชาวอเมริกาที่มีชื่อว่า Johnny Ray

ซึ่งเดิมที่ Johnny Ray เกิดปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดในสมองและยังป่วยเป็นอัมพาตโดยนักวิจัยทั้งสองได้ทำการฝังElectrodesลงไปในเยื้อหุ้มสมองสั่งการของของ Johnny Rayจากนั้นในเวลาต่อมานาย Johnny Rayก็สามารถเคลื่อนไหวได้

โดยถือว่ามันเป็นผลรับที่ดีมากแต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นการฝังElectrodesแบบนี้มันคือสิ่งที่ผิดกฎหมายในอเมริกาทำให้ในเวลาต่ออมานาย Phil Kennedyที่เป็นคนทำวิจัยก็ได้เดินทางไปที่ประเทศบารซิลและใช้เงิน3หมื่นเหรียญสหรัฐในการจ้างแพทย์บราซิลในการฝัง Electrodes ลงไปในสมองของเขา

แต่ทว่าในการทดลองในคราวนี้มันส่งผลเสียในช่วง2-3วันแรกโดยJohnny Rayนั้นมีการเสียสติจดจำอะไรไม่ได้เขาอ่านหนังสือไม่ออกแล้วก็พูดไม่ได้ก่อนที่เขานั้นจะค่อยๆกลับมาเป็นปกติและยังคงทำการทดลองอะไรอยู่แบบนี้ต่อไป

อันดับ สาม คือ พิษงู

นายTim Friedeเป็นชายที่หลงไหลงูเป็นอย่างมากมากขึ้นขั้นที่เรียกว่าอันตรายเขานั้นใช้เวลานานถึง16ปีในการสร้างภูมิคุ้มกันทางธรรมชาติต่อพิษงู

โดยวิธีการที่เขาใช้ก็คืออเอาพิษงูที่อันตรายฉีดเข้าร่างกายของตัวเองโดยที่เขานั้นหวังว่าเมื่อใดที่เขานั้นมีภูมิต้านทานที่ต้องการนักวิทยาศาสตร์จะสามารถเอาเลือดของเขาไปทำเซรุ่มได้และแน่นอนว่าพางูเหล่านี้มันจะทำให้ร่างกายแย่เกือบเอาชีวิตไม่รอดแต่เขาก็ยังหลงไหลพิษงูจนลืมหูลืมตาจนทำให้เมียขออย่าหอบลูกหนีไป

สนับสนุนเรื่องราวโดย.  www.ufabet.com ลิ้งเข้าระบบ