ปลาหมอตายเพราะปาก  

     เชื่อว่าหลายคนคงได้ยินคำสุภาษิตที่ว่า ปลาหมอตายเพราะปากกันมาบ้างแล้วซึ่งสุภาษิตนี้มีมาตั้งแต่หลายร้อยปีมาแล้วแต่ในปัจจุบันสุภาษิตนี้ก็ยังคงใช้ได้ดีอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนในสังคมไทยในยุคปัจจุบันนี้

         ในสังคมไทยปัจจุบันนี้ผู้คนส่วนใหญ่มักออกมาแสดงความคิดเห็นที่เกินความจำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในโลกออนไลน์ที่มีการแสดงความคิดเห็นด้วยการพิมพ์ข้อความออกผ่านทาง Social Media โดยมองว่าการพิมพ์ข้อความนั้นตนเองไม่ได้เจอกับผู้ที่ตนเองเข้าไปพิมพ์ต่อว่าจึงคึกคะนองอยากจะพิมพ์ต่อว่าใครก็ได้โดยที่ไม่คิดเห็นผลเสียที่จะตามมา

       และแน่นอนว่าจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันนี้ได้มีการออกกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องของพรบคอมพิวเตอร์ออกมาคุ้มครองผู้ที่ถูกคุกคามผ่านทาง Social Media ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่มีการโพสต์ต่อว่าคนอื่นผ่านทาง Social Media ในปัจจุบันนี้สามารถถูกจับกุมและมีความผิดทางกฎหมายที่สำคัญจะถูกเรียกเก็บค่าปรับหรือบางทีอาจจะถูกจับติดคุกด้วยก็เป็นไปได้และแน่นอนว่าความผิดทางด้านพรบคอมพิวเตอร์นั้นค่อนข้างรุนแรงดังนั้นหลายครั้งทางด้านกระทรวงดิจิตอลจึงได้ออกมาประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับความผิดนี้ให้กับประชาชนได้ทราบเพื่อป้องกันการออกมาพูดต่อว่าบุคคลอื่นผ่านทาง Social Media

       แต่อย่างไรก็ตามเรามักจะเห็นว่าปัจจุบันนี้คนในโลกโซเชียลมีเดียยังคงมีการต่อว่าบุคคลอื่นผ่านทาง Social Media กันเยอะแยะมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเราดาราทั้งหลายที่มักจะถูกเข้าไปพิมพ์ต่อว่าผ่านทางในโลกออนไลน์หากว่าคนไม่พอใจซึ่งเราจะได้เห็นว่าปัจจุบันนี้มีดาราหลายคนเริ่มดำเนินการอย่างจริงจังกับคนในโลกออนไลน์ด้วยการแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลที่ออกมาพิมพ์ข้อความต่อว่าตนเองไม่ว่าข้อความต่อว่านั้นจะมีมูลความจริงหรือไม่ก็ตาม

        ดังนั้นอาจจะกล่าวเปรียบเทียบได้เกี่ยวกับเรื่องของคนในโลกออนไลน์ที่ออกมาโพสต์ต่อว่าบุคคลอื่นในขณะนี้ตามยุคสุภาษิตของไทยในสมัยโบราณและก็คือปลาหมอตายเพราะปากแต่ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะไม่ได้มีการใช้คำพูดต่อว่าบุคคลอื่นออกไปแต่การพิมพ์ข้อความต่อว่าและมีการประจานในโลกออนไลน์นั้นก็ทำให้คนที่ถูกโพสต์ต่อว่านะได้รับความเดือดร้อนและความอับอาย ดังนั้นสิ่งที่มีผลตามมาสำหรับคนที่มีการโพสต์ข้อความอะไรโดยที่ไม่มีความยั้งคิดนั่นก็คือการถูกดำเนินคดีจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของเรื่องที่ถูกต่อว่านั้นไม่มีการแจ้งความจับนั่นเอง

         ดังนั้นเรื่องของการโพสต์เรื่องราวอะไรออกไปที่ไปพาดพิงถึงบุคคลที่ 3 นั้นจึงไม่ควรกระทำอย่างยิ่งเพราะผลที่ตามมานั้นรุนแรงมากมายไม่ว่าจะเรื่องนี้เรื่องของการเสียทรัพย์หรืออาจจะถูกจับดำเนินคดีได้นั่นเอง

 

ได้รับการสนับสนุนโดย.    ufabet

Continue Reading

เรียนพิเศษในช่วงโควิด-19 กันอย่างไร

            ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่านั้นการจะทำกิจกรรมต่างๆรู้สึกว่ามันจะติดขัดไปหมดไม่ว่าจะเรื่องของการงานหรือว่าการเรียนก็ตามโดยเฉพาะผู้ปกครองช่วงนี้จำเป็นต้องมีเรื่องเครียดมากมายทั้งเรื่องที่ทำงานทั้งเรื่องการเรียนของลูกที่ยังไม่รู้ว่าจะมีแนวทางอย่างไรหากมีการเปิดเทอมในช่วงที่การระบาดของไวรัสยังคงมีอยู่ในขณะเดียวกันนอกจากการเรียนประจำปกติที่ต้องเรียนกับทางโรงเรียนแล้ว

ก็ยังต้องมานั่งเครียดกับเรื่องของการเรียนพิเศษของลูกเพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัจจุบันนี้การเรียนเสริมพิเศษสำหรับเด็กนักเรียนในนั้นเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากการเรียนเฉพาะในโรงเรียนนั้นไม่เพียงพอต่อการแข่งขันของเด็กในปัจจุบันที่หากเราต้องการไปเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นจะต้องมีการแข่งขันที่สูงกันมากๆ

ดยเฉพาะเด็กในกรุงเทพฯที่หักอยากเข้าโรงเรียนดีๆที่มีชื่อเสียงจำนวนผู้ที่เข้าไปแข่งขันเลือกที่นั่งในการเข้าเรียนตามโรงเรียนที่อยากได้นั้นจะค่อนข้างมีสูงอย่างที่เราเห็นจากสื่อที่มีการระบุออกมาว่าตอนที่ให้สมัครเข้าเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษานั้นโรงเรียนที่เด็กนักเรียนต้องการเข้ามากที่สุดคือโรงเรียนสวนกุหลาบซึ่งจำนวนเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ทางโรงเรียนจะสามารถเติมที่นั่ง

ให้กับเด็กนักเรียนบ้านนั้นมีแค่เพียง 300 กว่าที่นั่งเท่านั้นในขณะที่จำนวนผู้ที่ลงทะเบียนเพื่อต้องการเข้าไปสอบจริงที่นั่ง 3 ที่นั่งนี้มีสูงถึง 1000 กว่าคนดังนั้นลองคิดดูว่าหากโลกของเรามีความรู้เฉพาะในห้องเรียนเท่านั้นคงจะไม่สามารถไปสู้กับเด็กนักเรียนคนอื่นๆที่เขามีการเรียนเสริมพิเศษได้แน่นอน

และโรงเรียนที่เราวาดหวังไว้ว่าจะให้ลูกเข้าเรียนนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้แน่ๆดังนั้นถึงแม้เธอต้องมีการเรียนในสภาวะที่ยังมีการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่านั้นทางผู้ปกครองเองก็ยังจำเป็นต้องหาโรงเรียนให้ลูกทำการเรียนพิเศษซึ่งปัจจุบันนี้เรายังไม่สามารถเดินทางไปยังโรงเรียนสอนพิเศษตามปกติได้เนื่องจากสถาบันการเรียนต่างๆยังไม่เปิดให้บริการด้านช่องทางการเรียนที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือการเรียนผ่านระบบออนไลน์ถึงแม้ว่าผู้ปกครองเองจะไม่ได้มั่นใจได้มากนักว่าการเรียนผ่านทางระบบออนไลน์นั้นจะช่วยให้ลูกของเรามีความรู้ที่ดีขึ้น

จากเดิมหรือไม่แต่ก็ดีกว่าการไม่มีที่ให้ลูกเรียนเสริมเลยเพราะนั่นจะยิ่งทำให้เด็กไม่มีความรู้เพียงพอที่จะไปแข่งขันกับคนอื่นได้ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องหาข้อมูลผ่านทางอินเทอร์เน็ตในการเช็คว่าปัจจุบันนั้นวิชาเรียนต่างๆสามารถเรียนผ่านทางระบบออนไลน์ได้หรือไม่และโรงเรียนหรือสถาบันไหนที่มีการเปิดสอนพิเศษผ่านระบบออนไลน์ไป

อย่างไรก็ตามหากเราไม่ต้องการให้ลูกเรียนผ่านระบบออนไลน์ก็มีอีกวิธีนึงก็คือจ้างคุณครูมาสอนที่บ้านโดยตรงแต่วิธีนี้ก็อาจจะเสี่ยงที่ลูกของเราหรือคนในครอบครัวอาจจะติดไวรัสโคโรน่ามาจากคุณครูก็ได้เช่นเดียวกันหากมีคนที่ไม่ใช่คนนอกครอบครัวเข้ามาในบ้านดังนั้นจำเป็นต้องระวังในการคุยหรือเรียนกับคุณครูในแต่ละครั้งก็ยังคงต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยและใช้เจลล้างมือบ่อยๆเช่นเดิม

 

สนับสนุนโดย.  ufabet สมัคร

Continue Reading

ข้ออ้างของครูที่ทำร้ายเด็ก

            ข่าวเกี่ยวกับเด็กนักเรียนระดับชั้นอนุบาล ซึ่งเป็นเพียงเด็กนักเรียนระดับชั้นอนุบาลหนึ่งเพียงเท่านั้น ถูกครูพี่เลี้ยงทำร้ายด้วยการตี  การจับหัวโขกโต๊ะ  การผลักติดผนังห้อง และยังมีการนำเด็กไปขังในห้องน้ำ หรือบางครั้งก็ให้เด็กออกยืนหน้าห้องเป็นชั่วโมง  กำลังเป็นกระแสโด่งดังมากในตอนนี้

             เพราะพ่อแม่ของเด็กต่างก็พากันไม่ยอม พยายามหาหลักฐานที่ครูทำร้ายลูกของตัวเอง เอามาเพื่อนำไปส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในการดำเนินคดีเอาผิดครูคนนี้ให้ได้ เพราะผู้ปกครองหลายคนกลัวว่า เหตุการณ์ที่ลูกของตัวเองถูกครูทำร้ายในโรงเรียนนี้จะเงียบไป และครูจะเสียค่าปรับเพียงแค่ 500 บาทแล้วก็จะลอยนวลไม่มีความผิดนั่นเอง 

            อย่างไรก็ตามในระหว่างที่เรื่องราวของครูตีเด็กของโรงเรียนสารสาสน์  ราชพฤกษ์ กำลังมีการถูกนักข่าวนำมาเสนอข่าวจนเป็นข่าวโด่งดังทั่วประเทศอยู่ในขณะนี้  ทางด้านโรงเรียนก็ทำได้เพียงแค่ ยกเลิกการจ้างงานครูคนดังกล่าว และส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี 

          ส่วนทางด้านครูที่ทำความผิดนั้น ได้ออกมาพูดคุยเรื่องนี้กับนักข่าวว่า ที่เธอทำไปเพราะว่าเธอเครียดแล้วมาเจอกับเด็กเล็กๆจำนวนหลายคนที่เธอต้องดูแล และพอเด็กดื้อจึงทำให้เธอนั้นต้องลงโทษเด็ก ซึ่งเธอบอกว่าเธอมีปัญหาส่วนตัวในครอบครัวทำให้เธอเครียด เพราะแม่ของเธอไม่สบาย และอีกงานของเธอก็เยอะ บางครั้งทำงานไม่ทัน จึงอาจจะมีการระบายอารมณ์ด้วยการมาลงมือทำร้ายเด็ก ตามที่เห็นในคลิป

        ซึ่งจากคำพูดประโยคนี้ มันกำลังสื่อให้เห็นว่าครูคนนี้ไม่ได้มีวุฒิภาวะมากพอที่จะมาเป็นครูได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูที่ต้องมีหน้าที่ดูแลเด็กนักเรียนระดับชั้นอนุบาลนั้น ยิ่งไม่สมควรให้เธอมาดูแล เพราะว่าไม่สามารถแยกแยะ ความรู้สึกของตัวเองได้  เมื่อมีเรื่องเครียดหรือเรื่องมารบกวนจิตใจก็ระบายออกด้วยการทำร้ายเด็กแทน คนที่มีภาวะจิตใจแบบนี้ไม่สมควรมาประกอบอาชีพครู เพราะผลที่ตามมานั้นจะมีผลเสียต่อเด็กเยอะมาก เพราะเด็กอนุบาล 1 นี้กำลังเพิ่งเริ่มเข้ามาเรียนหนังสือในโรงเรียน 

         พวกเขาควรเจอครูที่สามารถโน้มน้าวให้พวกเขาอยากมาโรงเรียน อยากเรียนหนังสือ รักการมาโรงเรียนเพราะเป็นการปูรากฐานที่ดีให้กับเด็ก แต่เมือมาโรงเรียนแล้วต้องมาเจอกับครูแบบนี้จะทำให้จิตใจของเด็กได้รับการกระทบกระเทือนและไม่อยากมาโรงเรียน ที่สำคัญเด็กจะมีบาดแผลในใจไปอีกนานเลยทีเดียว 

          ครูที่ดีนั้น ต่อให้มีเรื่องราวเศร้าเสียใจมากมายแค่ไหน แต่นั่นก็เป็นเรื่องส่วนตัวของครู ไม่สมควรนำมาปะปนกับเรื่องของงาน และยิ่งไม่สมควรที่จะมาลงกับเด็กนักเรียน  ดังนั้น การที่บอกว่าเครียดเรื่องส่วนตัวจึงมาลงกับเด็กนั้น มันเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น 

 

สนับสนุนโดย  gclub สมัครสมาชิก

Continue Reading

How to อยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านอย่างไรให้มีความสุข

ปัจจุบันนี้มีข่าวเพื่อนบ้าน บ้านใกล้เรือนเคียงทะเลาะเบาะแว้งกันออกมาให้เห็นบ่อยๆ บางคนก็แค่มีปากมีเสียง บางคนก็ถึงขั้นลงไม้ลงมือทำร้ายร่างกายกัน หนักสุดถึงขั้นฆ่ากันตาย ซึ่งปัญหาก็มีจากหลายสาเหตุมาก เช่น การแย่งที่จอดรถหน้าบ้าน สุนัขของบ้านหนึ่งมาอุจจาระหน้าบ้านคนอื่น เป็นต้น ด้วยความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นจากการทะเลาะเบาะแว้งกัน วันนี้เราจึงอยากมาแนะนำวิธีที่จะทำให้อยู่กับเพื่อนบ้านได้อย่างมีความสุข

1.ทำความรู้จักกับเพื่อนไว้

การที่สร้างสัมพันธ์ สร้างมิตรภาพ เราก็ต้องเริ่มจากการทำความรู้จักกันก่อน ดังนั้นเมื่อเราย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่ หรืออยู่บ้านมานานแล้วแต่ไม่เคยทำความรู้จักกันก็ควรเริ่มทำความรู้จักกับเพื่อนบ้าน เพื่อที่จะได้มีเพื่อนพูดคุยหรือสามารถพึ่งพาเพื่อนบ้านได้ในยามคับขัน ยามเจ็บป่วย หรือแม้กระทั่งถ้ามีปัญหาก็จะสามารถเจรจาพูดคุยตกลงกับเพื่อนบ้านได้ง่ายกว่าการที่ไม่เคยทำความรู้จักกันเลย

2.แบ่งปันเพื่อนบ้าน มีน้ำใจแก่เพื่อนบ้าน

การแบ่งปันเพื่อนบ้าน และมีน้ำใจให้แก่เพื่อนบ้านถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก เช่น เราทำอาหารไว้เยอะเราก็นำอาหารไปแบ่งปัน หรือไปต่างจังหวัดก็ซื้อของมาฝากเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะหากเราจะวานให้เพื่อนบ้านช่วยเหลือเราอะไรสักอย่างเราก็ควรมีสินน้ำใจตอบแทน อย่างเวลาเราไม่อยู่บ้าน ไปต่างจังหวัด เราก็อาจจะวานให้เพื่อนบ้านช่วยสอดส่องดูแลบ้านให้หน่อย รวมถึงดูแลสัตว์เลี้ยงขณะที่ไม่อยู่ให้ด้วย ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องซื้อของมาตอบแทน หรือมีอะไรก็ต้องรู้จักแบ่งปันเพื่อนบ้าน

3.พึ่งพากันและกันได้ 

ในที่นี้ไม่ใช่ว่าเราจะพึ่งพาเพื่อนบ้านฝ่ายเดียว แต่เราสามารถให้เพื่อนบ้านพึ่งพาเราได้ด้วย หากยามที่เพื่อนบ้านเดือดร้อน หรือยามที่เพื่อนบ้านต้องการความช่วยเหลือ อาจจะให้เราสอดส่องดูแลบ้านให้บ้าง ดูแลสัตว์เลี้ยงให้บ้าง หรือแม้กระทั่งฝากรับพัสดุแทนก็ตาม ทั้งนี้ก็ต้องดูด้วยว่าเรื่องที่เพื่อนบ้านจะพึ่งพาเรานั้นลำบากเกินตัวเราไปหรือไม่ ถ้าลำบากเกินตัวเราไปเราก็สามารถปฏิเสธได้

4.มีความเกรงใจซึ่งกันและกัน

ถ้าเราอยากให้เพื่อนบ้านเกรงใจเรา เราก็ต้องเกรงใจเพื่อนบ้านด้วย พฤติกรรมอะไรที่จะเป็นการสร้างปัญหา สร้างความเดือดร้อน สร้างความรบกวนให้แก่เพื่อนบ้านเราก็หลีกเลี่ยงที่จะไม่ทำ อย่างเช่น การให้เพื่อนบ้านมาช่วยเหลือเราบ่อยๆ มันก็คงจะไม่ดี ไม่มีความเกรงใจกัน เราต้องหัดพึ่งพาตัวเองให้ได้ก่อน หากไม่ได้จริงๆถึงค่อยขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน เพราะเราเองก็คงรำคาญหรือไม่ชอบเหมือนกันถ้าเพื่อนบ้านไม่มีความเกรงใจ มาขอร้องขอความช่วยเหลือจากเราบ่อยๆ หรือจะเป็นเรื่องการสร้างความสกปรก สร้างเสียงดัง ก็เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรทำเช่นกัน

5.มีปัญหาอะไรต้องรู้จักพูดคุย

หากเรามีปัญหาอะไรกับเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือไม่เราก็ต้องรู้จักบอกเพื่อนบ้านไปตรงๆ อย่าไปโพสข้อความบนโซเชียลมีเดียเพื่อประจาน เพื่อแขวะหรือเพื่อประชดประชัน เพราะนั่นอาจจะทำให้เรื่องราวบานปลาย และกลายเป็นการทะเลาะกันใหญ่โตได้ การพูดคุยกันอย่างเปิดอกเปิดใจน่าจะดีกว่า เพราะหากเราโดนเช่นนั้นบ้างเราก็คงจะไม่ชอบที่เพื่อนบ้านโพสประจาน โพสแขวะเราเช่นนั้น หากมีปัญหาจึงควรเดินเข้าไปคุยกันต่อหน้า ไปคุยกับอย่างเปิดใจ และทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน หาจุดตรงกลางที่จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข 

นี่ก็เป็นวิธีเล็กๆน้อยๆที่จะทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกันกับเพื่อนบ้านได้อย่างมีความสุข หากเราทำดีแล้ว เราเป็นเพื่อนบ้านที่ดีแล้ว ก็จะไม่ใครสามารถมาว่าเราได้ ถ้าในทางกลับกันเราเจอเพื่อนบ้านที่ไม่ดี เราทำดีด้วยก็ยังไม่ดีตอบ เรานิ่งได้ก็ควรนิ่ง เฉยได้ก็ควรเฉย ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องสนใจหรือให้ความสำคัญ มองผ่านไปเลย แต่ถ้าเพื่อนบ้านเรายังสร้างปัญหาอีกก็ขอแนะนำให้ใช้กฎหมายแทนความรุนแรง ให้มีคนกลางเข้ามาเจรจาดีกว่าไปมีปากมีเสียงกัน

 

สนับสนุนโดย  sa gaming ทดลองเล่น

Continue Reading

Beauty standard มาตรฐานความงามที่ไม่ควรมีมาตรฐาน

หลายๆครั้งที่สังคมไทยมักให้ค่าความงามของผู้หญิงไม่เท่ากัน ทั้งที่ผู้หญิงก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน เพศสภาพเดียวกัน แต่กลับวัดคุณค่าของผู้หญิงด้วยความสวยงาม ทั้งที่ความสวยงามของผู้หญิงแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ไม่สามารถเอามาตรฐานทางสังคมมาจัดลำดับความสวย ให้ค่าความสวยงามกับผู้หญิงแต่ละคนได้

แล้ว Beauty standard คืออะไร

Beauty standard คือมาตรฐานความงามของผู้หญิงที่คนในสังคมส่วนใหญ่เป็นคนกำหนดขึ้นมาเอง หรือยกย่องว่าผู้หญิงรูปร่างหน้าตาแบบไหนคือผู้หญิงสวย ซึ่งไม่อาจทราบได้เหมือนกันว่าสังคมใช้อะไรมาเป็นเกณฑ์วัดความสวย เพราะในเมื่อผู้หญิงแต่ละคนก็มีรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกันไปอยู่แล้ว ถ้าจะให้ผู้หญิงรูปร่างหน้าตาแบบเดียวกันหมดยิ่งเป็นไปไม่ได้ ลำพังแค่ยีนเด่นยีนด้อยที่ได้จากพ่อแม่ก็ไม่เหมือนกันแล้ว เพราะฉะนั้นการจะมากำหนด ตั้งเกณฑ์ความสวยมาตรฐานให้กับผู้หญิงดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เป็นไปเอาไม่ได้เสียเลย อีกทั้งยังก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมดังนี้

  1. เกิดการเปรียบเทียบ

เมื่อใดก็ตราบที่มีการกำหนดมาตรฐาน กำหนดตัวชี้วัดอะไรในสังคม คนในสังคมจะข้อเปรียบเทียบได้ อย่างเช่น กรณีพี่สาวกับน้องสาว หากมีคนใดคนหนึ่งหน้าตาเด่นกว่า อีกคนมีหน้าตาด้อยกว่า คนในสังคมก็จะเปรียบเทียบว่าทำไมคนนี้สวยกว่า คนนี้หุ่นดีกว่า ขนาดฝาแฝดยังมีรูปร่างหรือจุดที่แตกต่างกัน แล้วทำไมคนในสังคมถึงนำประเด็นเหล่านี้มาเป็นข้อเปรียบเทียบได้ 

  1. เกิดการ Bully

ข้อนี้เป็นปัญหาที่เห็นได้ทั่วไปในสังคมเลย เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีผู้หญิงคนใดรูปร่างหน้าตาไม่ถูกใจตามที่สังคมกำหนดเกณฑ์มาตรฐานความงามไว้ ผู้หญิงคนนั้นก็จะถูกสังคม bully โดนคนรอบข้างรังแก เพราะเธอมีหน้าตาไม่สวยไม่งามไม่ได้ตามมาตรฐานความงามที่สังคมกำหนด

  1. เกิดความลำเอียง การเลือกปฏิบัติ

แน่นอนว่าหากมีคนที่รูปร่างหน้าตาสวยงามตรงมาตรฐานความงามที่สังคมกำหนด คนในสังคมจะต้องอยากเข้าหา อยากทำความรู้จัก หากเกิดปัญหาอะไรคนในสังคมก็พร้อมช่วยเหลือมากกว่า กรณีแบบนี้มีให้เห็นในสังคมวัยเรียนและวัยทำงาน เช่น การประกวดดาวเดือน หากน้องคนไหนเป็นดาวเป็นเดือน หรือมีหน้าตาน่ารักสวยงาม พี่ๆเพื่อนๆก็จะเข้าหา ให้ความช่วยเหลือ หรือการสมัครงานผู้หญิงที่มีรูปร่างหน้าตาดีมักจะเข้าตาคนอื่นอยู่เสมอ ทำให้เป็นที่โดดเด่นและอาจได้คะแนนความสนใจเป็นพิเศษ เป็นต้น

ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว การมี Beauty standard จะจำเป็นขนาดไหนหรือ ในเมื่อมีแต่จะก่อให้เกิดปัญหาในสังคม ก่อให้เกิดการเปรียบเทียบ การเลือกปฏิบัติ การ Bully สังคมไม่ควรกำหนดว่าหรือจำกัดว่าคนไหนเป็นคนสวย คนไหนเป็นคนน่ารัก คนไหนรูปร่างดี คนไหนหน้าตาดี เพราะความสวยความงามเป็นเรื่องที่ผู้หญิงทุกคนมีแตกต่างกันไป และผู้หญิงทุกคนก็รักในความเป็นตัวเองที่ไม่เหมือนกัน การจะเอามาตรฐานความงามมากำหนดให้ผู้หญิงต้องสวยในรูปแบบนี้เหมือนกันหมดคงเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะผิวพรรณสีอะไร หน้าอกคัพอะไร

รูปร่างแบบไหน หน้าตาแบบไหน ก็ไม่ควรมีมาตรฐานทางสังคมมากำหนดว่าแบบไหนสวย ความสวยคือสิ่งที่กำหนดไม่ได้ ความสวยควรเป็นความคิดที่ผู้หญิงทุกคนควรมีต่อตัวเอง เพราะผู้หญิงทุกคนมีความสวยในแบบตัวเองแตกต่างกันไป เราจึงต้องมองตัวเองสวย สวยโดยที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร สวยในแบบของตัวเอง สวยโดยที่ไม่ต้องมีมาตรฐานเกณฑ์วัดอะไรจากสังคม สวยโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาบอกหรือชื่นชม ความสวยของผู้หญิงทุกคนแตกต่างกันตั้งแต่วันที่เรามาจากไข่คนละใบแล้ว ดังนั้นจงภูมิใจในตัวเอง ภูมิใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเอง และอย่าลดคุณค่าตัวเองเพียงเพราะมาตรฐานความงามทางสังคม  

 

 

สนับสนุนโดย    gclub slot เล่นผ่านเว็บ

Continue Reading